บทความ

รู้รอบ ก่อนฉีดโบท็อกซ์..

test1.jpg (78 KB)

ในปัจจุบันนี้ แน่นอนว่าทุกคนให้ความสนใจในแง่ของการชะลอวัย เพิ่มความอ่อนเยาว์ใบหน้า และต้องการลดเลือนริ้วรอย เพื่อความสวยงามและเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเจอกันทุกคนเมื่อมีอายุที่มากขึ้น

โบท็อกซ์เองเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งด้านชะลอวัย ลดริ้วรอย ที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์ สามารถเห็นผลลัพท์ได้ชัดเจน อีกทั้งใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องพักฟื้น รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐานว่าปลอดภัยในการใช้รักษา ซึ่งน่าจะมีคนไม่น้อยที่ยังไม่ค่อยรู้จักกับท็อกซินตัวนี้เป็นอย่างดี รวมถึงของบ่งชี้และข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์

หมอจึงรวบรวมเนื้อหาที่น่าจะสำคัญเกี่ยวกับโบท็อกที่จำเป็นต้องรู้มาไว้ในบทความนี้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษากันอย่างละเอียด

ประวัติและชนิดของโบท็อกซ์
โบทูลินัมท็อกซิน หรือชื่อเรียกการค้าที่เป็นที่รู้จักกันดีว่า โบท็อกซ์ (Botox) โดยปัจจุบันถูกนำมาใช้ในด้านความงามกันอย่างแพร่หลาย โบท็อกซ์จัดอยู่ในกลุ่มของสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ที่สกัดมาจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกโดย ศาตราจารย์ Emile van Ermengem ประเทศเบลเยี่ยม ในปี 1897

โบทูลินัมท็อกซิน มีทั้งหมด 7 ชนิด คือ A, B, C, D, E, F และ G โดยแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปตามกลไกของการสลายโปรตีน ซึ่งมีแค่ 5 ชนิดเท่านั้น ที่ออกฤทธิ์ได้กับมนุษย์

โดยงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโบทูลินัมท็อกซินที่นำมาใช้ในด้านความงาม ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2535 โดยดอกเตอร์ Jean Carruthers และ ดอกเตอร์ J, Alastair Carruthers ซึ่งเกิดจากการนำท็อกซินมารักษาโรคตากระตุก กล้ามเนื้กระตุก และพบว่าท็อกซินนี้จะทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ รอยย่นจากการขมวดคิ้วหายไป

โบท็อกซ์ กับประโยชน์ทางการแพทย์
โบท็อกซ์สามารถนำมาใช้รักษาโรคทางการแพทย์ได้อย่างหลากหลาย อาทิ เช่น

  • โรคทางด้านระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  • โรคเกี่ยวกับอาการปวดบางชนิด เช่น ไมเกรน
  • โรคระบบผิวหนัง
  • โรคตา หู คอ จมูก
  • โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ
  • โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
  • โรคแผลเป็นนูน เป็นต้น

กลไลการทำงานของโบท็อกซ์
โบท็อกซ์ เป็นสารประเภทโปรตีน โดยกลไกการออกฤทธิ์จะไปยับยั้งการหลั่งของสารสื่อสัญญาณประสาทอะซิติลโคลีน(acetylcholine) เพื่อยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทไปสู่บริเวณปลายประสาท

ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ทำให้รอยเหี่ยวย่น หรือริ้วรอยที่มีเลือนหายไป สารโบท็อกซ์จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในแง่ของความงาม อาทิเช่น

ประโยชน์ของสารโบท็อกซ์ในแง่ของด้านความงาม

  • โบท็อกซ์ลดริ้วรอยบริเวณ หน้าผาก
  • โบท็อกซ์ลดริ้วรอยบริเวณหางตา

  • โบท็อกซ์ลดริ้วรอยขมวดคิ้ว
  • โบท็อกซ์ยกคิ้ว ยกเปลือกตา สำหรับคนที่เปลือกตาตกหรือคิ้วตกได้
  • โบท็อกซ์คาง ลดรอยบุ๋มย่น เพื่อทำให้คางเรียบขึ้น และคางยาวขึ้นได้
  • โบท็อกซ์ลดรอยย่นบริเวณเหนือปาก
  • โบท็อกซ์ลดรอยย่นบริเวณจมูก เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณเหล่านั้นขยับตัวได้น้อยลง และคลายตัวออกในที่สุด
  • โบท็อกซ์กราม เพื่อให้หน้าเรียวใช้ฉีดบริเวณกราม เพื่อลดขนาดของกล้ามเนื้อกรามให้เล็กลง ดูเป็นวีเชฟมากขึ้น
  • โบท็อกซ์น่อง เพื่อลดขนาดของน่อง โดยฉีดสารโบท็อกซ์บริเวณน่องขาที่โต เพื่อลดขนาดน่องใหญ่ ทำให้ขาดูเรียวเล็กมากขึ้น
  • โบท็อกซ์ลิฟหน้า เพื่อยกกระชับใบหน้า หรือฉีดคลายกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าที่ดึงหน้าลง เพื่อหวังผลให้หน้ายกกระชับ เรียวขึ้นได้ด้วย
  • โบท็อกซ์ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ

โบท็อกซ์ ไม่ได้ออกฤทธิ์ถาวร
โดยกลไกการออกฤทธิ์ของสารโบท็อกซ์นั้น จะใช้เวลาในการเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 24-48 ชั่วโมง หลังจากที่ฉีดไป และเห็นผลสูงสุดภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น กรามเนื้อกราม หรือกล้ามเนื้อน่อง จะใช้เวลาในการออกฤทธิ์นานกว่า โดยประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังจากที่ฉีดไป และจะคงอยู่โดยประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย จีงเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องมีการฉีดโบท็อกซ์ซ้ำทุก 4-6 เดือน

การเก็บรักษาโบท็อกซ์
การเก็บรักษา รวมถึงการผสมโบท็อกซ์ในการทำการรักษาแต่ละครั้ง มีความสำคัญมาก เนื่องจากส่งผลต่อประสิทธิภาพของผลการรักษา โดยปกติ ควรเก็บในอุณหภูมิ 0 ถึง −5° หรือ 2° ถึง 8° โดยต้องบรรจุอยู่ในขวดสูญญากาศ ขั้นตอนการผสมยาก่อนการฉีดก็ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและถูกสัดส่วน

ภาวะดื้อโบท็อกซ์คืออะไร
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากฉีดโบท็อกซ์ได้แแค่ไม่กี่ปี เพราะทุกคนคงอยากใช้โบท็อกซ์เพื่อช่วยคงความอ่อนเยาว์ไปอีกนานแสนนาน โดยเมื่อเกิดการดื้อโบท็อกซ์ขึ้นแล้ว จะไม่สามารถตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบท็อกซ์ได้ หรืออาจต้องใช้ปริมาณยูนิตที่มากขึ้นเพื่อให้เกิดผลลัพธ์แบบเดิม ซึ่งหมอก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์แน่นอน เพราะนอกจากจะส่งผลในแง่ของด้านความสวยงามและความมั่นใจแล้ว อนาคตหากเจ็บป่วยด้วยโรคที่จำเป็นต้องรักษาด้วยสารโบท็อกซ์ ก็จะเป็นการสูญเสียโอกาสในการรักษาตรงนั้นไป ดังนั้นหมอมีวิธีที่จะช่วยป้องกันการดื้อโบท็อกซ์ได้ ด้วย 3 วิธีดังต่อไปนี้

  • ไม่ควรฉีดยูนิตโบท็อกซ์ต่อครั้งเยอะเกินไป การฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณต่อครั้ง โดยเฉลี่ยไม่ควรเกิน 100 ยูนิตต่อครั้งของการรักษา
  • ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ถี่เกินไป ระยะเวลาในการฉีดซ้ำในครั้งถัดไป โดยเฉลี่ยควรเว้นระยะการฉีดจากครั้งก่อนประมาณ 3-6 เดือน
  • ไม่ใช้โบท็อกซ์ที่เป็นของปลอม/ของหิ้ว ต้องใช้โบท็อกซ์แท้เท่านั้น เพราะโบท็อกซ์ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน ก็จะมีโปรตีนที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย สารภูมิต้านทานในร่างกายก็จะถูกสร้างขึ้นมาในปริมาณที่มาก เพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอม ในที่สุดก็จะก่อให้เกิดภาวะดื้อต่อสารโบท็อกซ์ได้ง่ายมากขึ้น สถานพยาบาลก็ต้องดูว่าได้มาตรฐาน หรือการรับรองหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องรู้วิธีตรวจเช็คโบท็อกซ์แท้ที่ได้มาตรฐานในเบื้องต้นด้วยตนเองได้ด้วย

วิธีสังเกตุโบท็อกซ์แท้
วิธีตรวจเช็คโบท็อกซ์แท้ง่ายๆ ทั้งโบท็อกซ์เกาหลี และโบท็อกซ์อเมริกาเช่น มีวันเดือนปีที่ผลิต หมดอายุ ระบุที่ฉลากข้างกล่อง และขวดโบท็อกซ์ที่ตรงกัน มีเลขที่ อย.เป็นภาษาไทยชัดเจนที่ข้างกล่อง รวมถึงเลขทะเบียนกำกับ ว่านำยาเข้าจากบริษัทใด

นอกจากนี้ ยังมีสติกเกอร์ฮาโลแกรมระบุที่ข้างกล่องและขวด ขวดต้องบรรจุแบบสูญญากาศ มีฝาปิดพลาสติกปิดทับอยู่ด้านบนขวด มีฉลากภาษาไทยระบุรายละเอียดของยาพร้อมอ่านบรรจุในกล่อง บริเวณก้นขวดจะเห็นแทบขาวจางๆ ซึ่งเป็นผงของโบท็อกซ์ เป็นต้น ซึ่งสุดท้ายแล้วคนไข้สามารถโทรสอบถามไปยังบริษัทได้เลยว่าสถานพยาบาลนี้ได้สั่งยาตรงจากบริษัทยาหรือไม่

ข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์

  • หญิงตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้มีความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (myasthenia gravis ) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (amyotrophic lateralizing sclerosis)
  • ผู้ที่แพ้สารในกลุ่มโบทูลินัม ท็อกซิน

ในปัจจุบันนี้ แม้ว่าการฉีดสารโบท็อกซ์ในด้านความสวยงามจะมีอยู่อย่างแพร่หลายทั่วไป และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา และการขึ้นทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ว่ามีความปลอดภัย แต่เราก็มีความจำเป็นจะต้องฉีดในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน รวมถึงต้องใช้โบท็อกซ์แท้ ไม่ใช้โบท็อกซ์หิ้ว หรือโบท็อกซ์ปลอม และทำการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น

เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือ ทำให้อ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ และเกิดผลข้างเคียงต่างๆ เช่น ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว เปลือกตาตก คิ้วตก เสียงแหบ กลืนลำบาก หน้าตอบ น้อยที่สุด จะต้องเป็นแพทย์ที่ชำนาญ เพราะจะต้องเข้าใจถึงโครงสร้างกายวิภาคของกล้ามเนื้อบนใบหน้าแต่ละมัดเป็นอย่างดี

รวมถึงเทคนิคการฉีดรักษาต้องถูกต้องในกล้ามเนื้อแต่ละมัดบริเวณนั้นๆจริง เพื่อที่จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะเมื่อเกิดผลข้างเคียง หรือผลลัพธ์อันไม่เป็นที่พอใจจากการฉีดโบท็อกซ์แล้วนั้น ผลการรักษาจะไม่สามารถแก้หรือกลับมาเป็นปกติได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วภายในสัปดาห์ได้

 

ข้อมูล : พญ. วริยา เหล่าถาวร (หมอแอน) แพทย์เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม

ติดต่อสอบถาม 06-4946-2397